ใช้แค่น้ำเปล่าล้างหน้า จะดีต่อผิวไหม?
สาว ๆ หลายคนคงเกิดความสงสัยว่าถ้าใช้แค่น้ำเปล่าล้างหน้า จะเพียงพอต่อการทำความสะอาดผิวหรือไม่ เพราะเชื่อว่าถ้าใช้น้ำเปล่า หน้าของเราก็จะไม่ต้องเผชิญกับสารต่าง ๆ ไม่ต้องถูหรือเช็ดหน้าให้เกิดความระคายเคือง และยังประหยัดเวลาอีกด้วย
แต่เอาเข้าจริงแล้ว แค่ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่านั้น ไม่เพียงพอต่อการทำความสะอาดผิวเลย เพราะน้ำเปล่าไม่สามารถที่จะขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ความมัน เครื่องสำอาง สิ่งสกปรก หรือแบคทีเรียต่าง ๆ ออกไปได้ และเมื่อปล่อยไว้ ก็จะทำให้ผิวของเรานั้นขาดความชุ่มชื้น เกิดความมัน หรือเกิดการอักเสบอุดตันได้
ถ้าผิวมัน ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าได้หรือไม่
สำหรับผู้ที่มีผิวมัน การใช้น้ำเปล่าล้างเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถควบคุมความมันบนผิวหน้าได้ และไม่สามารถช่วยเรื่องการขจัดสิ่งสกปรก และการเก็บกักความชื้นของผิวหน้าได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นสาเหตุของปัญหาผิวหน้าอื่น ๆ ตามมา
หากใช้คลีนเซอร์ที่เหมาะสมในการทำความสะอาดร่วมด้วย จะช่วยให้คุณทำความสะอาดหน้าได้อย่างสะอาด ขจัดความมันส่วนเกิน ไม่เกิดการอุดตัน ช่วยให้เซลล์ผิวฟื้นคืน และยังช่วยเรื่องการเก็บกักความชุ่มชื้นให้กับผิว ไม่ให้ผิวแห้งตึงหลังใช้อีกด้วย
ถ้าเป็นสิว ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวดีกว่าหรือไม่
แม้จะมีความเชื่อว่าการล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าจะช่วยลดปัญหาเรื่องสิวได้ดีกว่า แต่ความจริงแล้วนั่นไม่ใช่วิธีการล้างหน้าที่ดีที่สุดเสมอไป
เพราะว่านอกจากน้ำเปล่าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะชำระล้างสิ่งสกปรกบนใบหน้าแล้ว ค่า pH ของน้ำเปล่าอาจจะส่งผลเสียต่อใบหน้าอีกด้วย
เพราะค่า pH ของน้ำทั่วไปอยู่ที่ 7 ส่วนค่า pH ของผิวหน้าที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 4.7 ถึง 5.75 ซึ่งเป็นค่าที่มีความเป็นกรดอ่อน ๆ และความเป็นกรดนี้ก็ช่วยทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันปกคลุมผิวและคอยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวของเรา
ดังนั้น การล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าจึงไม่ใช่การทำความสะอาดผิวหน้าที่ดีที่สุด เราควรเริ่มดูแลผิวอย่างเป็นขั้นตอนและทำอย่างเป็นกิจวัตร เพื่อช่วยดูแลฟื้นฟูผิวหน้าให้มีสุขภาพดีมากขึ้น
การหาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อช่วยคงค่า pH ที่เหมาะสมให้กับผิวหน้าของเรา รวมถึงการทำความเข้าใจว่าผิวของเราควรได้รับการดูแลแบบไหน เพื่อที่จะได้เลือกผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่ใช่ และเริ่มขั้นตอนการดูแลผิวหน้าที่เหมาะสม
โดยผลิตภัณฑ์ของเซตาฟิล มีให้เลือกทั้งคลีนเซอร์และมอยซ์เจอไรเซอร์ซึ่งล้วนแต่มีส่วนผสมที่ช่วยยกระดับสุขภาพผิวหนังให้ดีขึ้น รวมถึงปัจจุบันนี้ เซตาฟิลก็ได้พัฒนาสูตรใหม่ เพิ่ม “สกิน พาวเวอร์ โซลูชัน” (Skin Power Solution) ที่มี 3 ส่วนผสม ช่วยยกระดับสุขภาพผิวให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
แล้วเราควรล้างหน้าบ่อยแค่ไหน
ผิวหน้าแต่ละแบบก็ควรได้รับการดูแลที่แตกต่างกัน เราขอแนะนำวิธีการดูแลผิวหน้าของคุณโดยแบ่งตามประเภทของสภาพผิวดังต่อไปนี้ เพื่อที่ให้ผิวของคุณมีสุขภาพดี และห่างไกลจากปัญหาของ 5 สัญญาณผิวแพ้ง่าย
หากคุณมีผิวแห้ง
ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยคลีนเซอร์ที่อ่อนโยนเพื่อไม่ให้ผิวของคุณระคายเคือง เราขอแนะนำ เซตาฟิล เจนเทิล สกิน คลีนเซอร์ (Cetaphil Gentle Skin Cleanser) คลีนเซอร์เนื้อโลชั่นที่ช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างหมดจด ขจัดสิ่งสกปรก และเครื่องสำอางออกจากผิวได้อย่างอ่อนโยน และช่วยคงความชุ่มชื้นและความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติเมื่อใช้เป็นประจำ
และหากคุณมีผิวแห้งถึงแห้งมาก คุณสามารถบำรุงผิวของคุณด้วย เซตาฟิล มอยซ์เจอไรซิ่ง ครีม (Cetaphil Moisturising Cream) มอยซ์เจอไรเซอร์เนื้อครีมเข้มข้น แต่เบาสบาย ไม่เหนอะหนะผิว ช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวแห้งถึงแห้งมาก รวมถึงผิวบอบบาง แพ้ง่าย ให้กลับมาเนียนนุ่มชุ่มชื้นได้ทันทีหลังใช้ และยังช่วยฟื้นบำรุงเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้นได้ใน 3 วัน และหากใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถฟื้นคืนเกราะป้องกันผิวอย่างสมบูรณ์ได้ใน 1 สัปดาห์
หากคุณมีผิวมัน หรือผิวผสม
คุณสามารถล้างหน้าบ่อยกว่าปกติได้ แต่อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำให้คุณใช้คลีนเซอร์ในการดูแลทำความสะอาดใบหน้า 2 ครั้งต่อวัน โดยเราขอแนะนำ เซตาฟิล ออยล์ลี่ สกิน คลีนเซอร์ (Cetaphil Oily Skin Cleanser) คลีนเซอร์เนื้อเจลที่ช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก ขจัดความมันส่วนเกิน สิ่งสกปรกและเครื่องสำอางได้หมดจด แต่อ่อนโยน ช่วยคงความชุ่มชื้นให้ผิว ที่สำคัญยังมี pH ใกล้เคียงกับผิวหนังตามธรรมชาติ ไม่ทำให้ผิวรู้สึกแห้งตึงหลังใช้
และหลังล้างหน้าแล้ว คุณสามารถบำรุงผิวได้ด้วย เซตาฟิล มอยซ์เจอไรซิ่ง โลชั่น (Cetaphil Moisturising Lotion) โลชั่นสูตรบางเบา ซึมซาบไว ที่ทรงประสิทธิภาพ ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น และรักษาความชุ่มชื้นของผิวได้นานถึง 48 ชั่วโมง ช่วยฟื้นฟูผิวของคุณให้สุขภาพดี
มาดูแลผิวกันอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นกิจวัตรเพื่อให้ผิวของคุณสุขภาพดี ห่างไกลจาก 5 สัญญาณผิวแพ้ง่ายกับ เซตาฟิล กันเถอะ